SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำการตลาดออนไลน์ช่องทางหนึ่งที่หลายคนบอกว่าทำกันยากมากและค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลาในการทำ ! แต่ถ้าเข้าใจว่า การทำ SEO คืออะไร และสามารถทำจนประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถประหยัดต้นทุนโฆษณาไปได้เยอะมากทีเดียว รวมถึงมีช่องทางการตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่งเพิ่มอีก 1 ช่องทางให้กับธุรกิจ
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับ SEO กันให้มากขึ้น ว่าเพราะอะไร ทำไมหลายๆธุรกิจ ถึงยอมลงทุนลงแรงอยากให้เว็บไซต์ของตนเองนั้นติดอยู่บนหน้าหนึ่ง Rank 1 ของ Google
เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการ
SEO คืออะไร
SEO หรือ Search Engine Optimization คือการปรับแต่งเว็บไซต์ในส่วนของ On page SEO และ Off page SEO ให้ติดอันดับที่ดีที่สุดบนหน้าแสดงผลการค้นหา หรือ SERP (search engine results) ของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google, Bing, Yahoo เพื่อเพิ่ม Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์
โดย Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย ก็คือ Google
SEO จะแตกต่างจาก Google Ads และ Facebook Ads ที่เป็นพื้นที่เช่า ต้องจ่ายค่าเช่า ในการลงโฆษณาตลอด เมื่อหยุดจ่าย ผู้เข้าชมก็จะลดลงทันที
ถึงแม้ การทำ SEO จะเป็นพื้นที่เช่าเหมือนกัน แต่ก็เป็น พื้นที่เช่า ที่ไม่ต้องเสียค่าเช่าสักบาทเดียวให้กับ Google ก็ใช่ว่าจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยนะครับ ยังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องบำรุงรักษาร้านค้าของตัวเองอยู่
ความสำคัญของ SEO
อันดับแรก ก่อนที่เราจะมาลงลึกในหัวข้อ SEO คืออะไร
มาทำความรู้จักเกี่ยวกับ Customer Journey กันก่อนครับ
Customer Journey คือการเดินทางของลูกค้า ตั้งแต่ ยังไม่รู้จักแบรนด์ ไปจนถึงการเกิดความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
โดยจะแบ่งเป็น Awareness (การรับรู้ถึงสินค้า) > Consideration(การเปรียบเทียบ) > Purchase(การซื้อสินค้าและบริการ) > Usage(การใช้งาน) > Loyalty(การกลับมาซื้อซ้ำ)
ยุคก่อนหน้าของการตลาด ในโลก 4g 5g ในส่วนของการหาข้อมูล การรับรู้ Awareness และ การเปรียบเทียบ Consideration ลูกค้าอาจจะต้อง โทรไปสอบถามคนโน่นคนนี้ หรือต้องเดินไปสอบถามยังแหล่งขายสินค้าด้วยตนเอง กว่าจะเดินทางไปถึง กว่าจะสอบถามแต่ละร้านค้า ดูแล้วเหนื่อยมากครับในสมัยนั้น
ปัจจุบัน ลูกค้าสามารถทำได้ง่ายมาก หากลูกค้าอยากรู้เกี่ยวกับ ข้อมูลและการเปรียบเทียบ เช่น ถ้าเราต้องการข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ ก็แค่ Search บน Google เช่น “ประกันภัยรถยนต์ คืออะไร” หรือ “ประกัยภัยรถยนต์ที่ไหนดี” ก็มี เว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้อง มาให้ข้อมูลครบ พร้อมเดินทางสู่ ขั้นตอนการซื้อสินค้าได้ทันที แบบไม่ต้องลุกไปไหนเลย
การค้นหาข้อมูลบน Google
เราจะเห็นว่าพฤติกรรมของคนนั้น เปลี่ยนแปลง ไปเยอะมาก หากธุรกิจของคุณ ยังทำการตลาดแบบเดิมๆ มีแต่หน้าร้าน ไม่มีเว็บไซต์ และไม่ทำ SEO ก็จะทำให้พลาดโอกาส ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการหาข้อมูลบน Search Engine ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครับ
ดังนั้น กระบวนการทำ SEO จึงเป็นคำตอบครับ เพราะสามารถช่วยทำให้เว็บไซต์ ขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของ Google ให้กลุ่มลูกค้าที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ ค้นพบเว็บไซต์ของธุรกิจของคุณ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ความสำคัญและสาเหตุที่ต้องทำ SEO อีกหนึ่งอย่าง ที่สำคัญมาก คือ บนหน้าแรกของ Google หรือ SERP (Search engine results pages) ที่แสดงผลการค้นหา มีเพียง 10 ตำแหน่งเท่านั้น
SERP (Search Engine Results Pages)
โดยไม่นับ Google Ads ที่อยู่ด้านบน และในปัจจุบันใน 10 ตำแหน่งนอกจากผลการค้นหาที่ขึ้นแบบเว็บไซต์แล้ว ยังมีแบบอื่นๆ เข้ามาแทรกอีกด้วยครับ
google ads snippets
จุดที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับเรื่องของอันดับ ที่ทำให้ SEO มีความสำคัญ อย่างมาก ก็คือ CTR (Click Through Rate) หรืออัตราการคลิ๊กเข้าชมเว็บไซต์ หากเราทำ SEO แต่อยู่หน้า 2 ของ Google มันจะไม่มีความหมายอะไรเลยครับ เพราะน้อยมากๆ ที่ผู้ใช้งานจะคลิ๊กไปยังหน้าสอง จนเจอเว็บไซต์ของคุณ
คราวนี้เรามาดูอัตราการคลิ๊กบนหน้าแรกกันบ้างครับ
ขอบคุณรูปภาพ : https://backlinko.com/google-ctr-stats
จากการวิเคราะห์ของ Brian Dean เจ้าของเว็บไซต์ Backlinko การอัตราการคลิ๊กอยู่ที่ Top 3 ประมาณ 70% โดยที่ Rank 1 นั้น มีอันตราการคลิ๊ก หรือ CTR เฉลี่ยอยู่ที่ 31.7% จะเห็นความแตกต่างไหมครับ
ยกตัวอย่างเช่น keywords ประกันภัยรถยนต์ มีคำค้นหาคำนี้ประมาณ 74,000 ครั้ง/เดือน
ก็จะคิดจำนวนคนคลิ๊กเข้าชมเว็บไซต์ได้ดังนี้ครับ
- Rank 1 74,000*31.7% = 23,458 Click
- Rank 2 74,000*24.71% = 18,285 Cliclk
- Rank 3 74,000*18.66% = 13,808 Click
- Rank 4 74,000*13.6% = 10,064 Click
ในกรณีคิด conversion rate = 0.5%
- Rank 1 จะได้ลูกค้า คิดเป็น 23,458*0.5% = เฉลี่ย 117
- Rank 2 จะได้ลูกค้า คิดเป็น 18,285*0.5% = เฉลี่ย 91
- Rank 3 จะได้ลูกค้า คิดเป็น 13,808*0.5% = เฉลี่ย 69
- Rank 4 จะได้ลูกค้า คิดเป็น 10,064*0.5% = เฉลี่ย 50
สมมุติ ลูกค้า 1 คนที่ติดต่อเข้ามา ขายประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้ 10,000 บาท
เปรียบเทียบยอด ที่ 1 กับ ที่ 4 ใน 1 keyword
- Rank 1 คิดยอดขายเป็น 117*10,000 = 1,170,000 บาท
- Rank 4 คิดยอดขายเป็น 50*10,000 = 500,000 บาท
จะเห็นว่า ที่ 1, 2, 3, 4-10 นั้นผลลัพทธ์ที่ได้แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
โดยจะสรุปเป็นภาษาบ้านๆ ได้ว่า หากเราทำ SEO แต่ไม่ได้อยู่ภายใน Top 3 ก็จะได้นั่งรถเมล์ ถ้าอยู่ Rank 2-3 ก็จะได้นั่งรถ suzuki swift แต่ถ้าอยู่ Rank 1 จะได้นั่ง Benz หรือ BMW เพราะสาเหตุนี้ ใครๆ ก็เลยอยากอยู่หน้าแรกอันดับ 1 ของ Google นั้นเองครับ
วิธีทำงานของ Search Engines
ให้คิดว่า Google Search Engine เป็นตัวแทนของห้องสมุดที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล จากการปล่อย Bot ไปเก็บเอกสารตามเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก โดยมีตัวกลางก็คือ Search Argorithm เป็นบรรณารักษ์ที่สามารถหาเอกสารหรือหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการอยากรู้
ตัวอย่างชุดข้อมูลที่ Google รวบรวม ข้อมูลจะเป็นโครงสร้างโค้ดของหน้าเว็บ
ดูได้ โดยการกด คลิ๊กขวาบนหน้าเว็บ แล้วกด Crt+U ในส่วนของระบบ window
เมื่อผู้คนค้นหาข้อมูลที่ต้องการบน Search Engine ของ Google Argorithm ก็จะประมวลผลชุดข้อมูลที่รวบรวมไว้ในฐานข้อมูล เช่น สแกนว่ามี “keywords” ที่เกี่ยวข้องในเอกสารไหนบ้าง และใช้ ปัจจัยมากกว่า 200 ปัจจัย ในการคัดสรร
หากเอกสารในสมุดเล่มไหนถูกต้องตามปัจจัยที่กำหนดไว้มากที่สุด ก็จะยิ่งมีโอกาสให้ผู้ค้นหาตัดสินใจเลือกก่อน โดยนำไปไว้ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา เพื่อให้ ผลการค้นหา เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการมากที่สุด สำหรับผู้ค้นหาในเวลานั้น
โดยจะสรุปกระบวนการทำงานของ Google ได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ครับ
- Crawling คือการส่ง Bot หรือ Spider ไปรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บไซต์ทั่วโลก โดยจะไต่ไปตาม link ที่พบ เมื่อพบจะทำการ Copy ข้อมูลและนำไปส่งให้กับ Google ทั้งเว็บไซต์ที่ยังไม่มีข้อมูลและเว็บไซต์ที่มีข้อมูลแล้ว เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง Update ส่วนนี้มีหน้าที่ในการเก็บข้อมูลเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ในการจัดอันดับ
- Indexing คือการนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร และนำไปเก็บไว้ที่ฐานข้อมูลของ Google เพื่อความรวดเร็วในการค้นหาของผู้ใช้ โดยข้อมูลจะอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Google ที่มีจำนวนเยอะมาก และมีความปลอดภัยสูง !
- Ranking ในส่วนนี้จะเริ่มต้นทำงานเมื่อ ผู้ใช้ทำการค้นหา โดย Google จะหาเอกสารในฐานข้อมูล เพื่อตอบคำถามที่ดีที่สุดและเหมาะสม จากปัจจัยต่างๆ โดยใช้ Algorithm ในการคำนวณอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบกาณ์การใช้งานที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สถานที่, ภาษาที่ใช้, อุปกรณ์ในการค้นหา
สามารถดู VDO การบวนการทำงานของ Google ที่ผมคิดว่าอธิบายได้เข้าใจง่ายๆ ได้ที่คลิปนี้ครับ
ขอบคุณ VDO : https://searchengineland.com
วิธีทำงานของ SEO
การทำงานของ SEO คือการมุ่งเน้นให้ ผู้ใช้งาน Search Engine สามารถได้รับข้อมูลที่ตรงกันกับความต้องการของผู้ค้นหามากที่สุดครับ ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo, Bing หรือ baidu ก็มีเป้าหมายเดียวกัน
รูปของของการแสดงผล หรือ SERP Feature มีหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการค้นหา
SERP Feature ที่ตรงกับความต้องการในการค้นหา โดยแสดงประวัติของนักฟุตบอล
การทำงานของ Search Engine ในอันดับแรกจะส่ง Bot มาเก็บข้อมูลที่มีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ต จากเว็บไซต์นึงไปสู่อีกเว็บไซต์นึง เพื่อนำไปรวบรวมไว้ในฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ เราจะเรียกขึ้นตอนนี้ว่า index หลังจากนั้น ก็จะใช้ Algorithms ในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีมากกว่าหลายร้อยปัจจัย เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเครื่องมือค้นหาที่ดีที่สุด ให้กับผู้ใช้ เช่น Content quality, mobile-friendliness, keyword research ฯลฯ
Period of SEO Ranking Factors 2019
ขอบรูปภาพ : https://searchengineland.com/seotable
ซึ่งการปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ ตามปัจจัยต่างๆ จะสามารถช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นบนหน้า SERP ของเครื่องมือค้นหาได้ครับ
ขั้นตอนการทำ SEO
สำหรับการทำ SEO บน Search Engine ของ Google นั้น Google มีแนวทางในการจัดอันดับ ชัดเจน แต่ก็มีมากกว่า 200 ปัจจัย และมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ การที่จะนั่งจดจ่อทำตามทุกปัจจัย ก็คงจะทำใ้ห้สับสนได้ หรือถ้าใครอยากรู้ว่าทั้ง 200 นั้นมีอะไรบ้าง
ผมแนะนำให้ลองดูที่นี่ครับ https://backlinko.com/google-ranking-factors
แต่หากอยาก รวมลัดแบบสรุป และทำได้จริง แบบที่ละขั้น เพื่อนำไปขยายเนื้อหาต่อเพิ่มเติม ผมได้เตรียม Road Map แบบย่อๆ แต่ได้ผลลัทธ์คุ้มค่า ไว้แล้วครับ ด้านล่างนี้
แต่ละขั้นตอนเป็นขั้นตอน เป็นขั้นตอนที่ผมใช้จริงๆ ในการรับทำ SEO
1. Keyword Research
Keyword Research เป็นขั้นตอนแรก ที่มีความสำคัญมาก สำหรับการวางกลยุทธ์ SEO ให้มีประสิทธิภาพสูดสุด เพื่อให้ได้ ผู้เข้าใช้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพ หากไม่ได้มีการ Research keyword ในขั้นตอนแรกของการทำ SEO ก็เหมือนกับการปีนต้นไม้ผิดต้น ไปปีนต้นไม้ที่ไม่มีผลผลิต อยู่บนยอด นอกจากนั้นการ Research keyword ยังเป็นการกำหนดเป้าหมายของ Contents Marketing ที่ใช้สำหรับทำ SEO
Keyword Research คือ การหาจำนวนค้นหา ของ คำ หรือ วลี ที่ผู้ใช้งานค้นหาบน Search Engine ถ้ามีจำนวนคำค้นหาเยอะ ก็จะแสดงถึง ปริมาณผู้ใช้ที่สนใจที่มากขึ้น (เรียกว่ามี Volume สูง) หากเราทำ SEO ติดอยู่บนหน้าแรกใน Rank สูงๆได้ ก็จะช่วยสร้าง Traffic ให้กับเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น แต่ถ้าเราทำ SEO ให้กับ Keywords ที่มีปริมาณค้นหาน้อย (เรียกว่า มี Volume น้อย) หากเราทำ SEO ติด ก็จะช่วยสร้าง Traffic ให้กับเราน้อย
การที่เราจะรู้ได้ว่า keywords คำไหนก็มีการค้นหาเท่าไหร่นั้น เราจะต้องใช้ keyword reseach tool ในการช่วยหาครับ ผมจะขอแนะนำ เครื่องตัวนึงที่ใช้งานง่าย ใช้ได้ฟรี หรือถ้าหากเสียเงิน ก็เสียไม่แพงมากครับ ชื่อว่า ubersuggest เข้าไปใช้งานได้ที่ https://neilpatel.com/ubersuggest/
วิธีใช้งาน Ubersuggest
- ใส่ keywords ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- เปลี่ยนเป็นประเทศไทย
- กด Search
กดแล้วระบบจะแสดง keywords และ Volume (จำนวนค้นหาต่อเดือน)
นอกจากเรื่องของ Volume หรือคำที่มีปริมาณค้นหาสูง บริบทของคำค้นหา เองก็มีความสำคัญมากครับ
ยกตัวอย่างจากรูปที่ผมนำมาเป็นตัวอย่าง จะมี keywords ที่ได้มาคือ
Keyword |
Volume |
เก้าอี้สำนักงาน |
22,200 |
เก้าอี้สำงาน ราคาถูก |
1,000 |
เก้าอี้สำนักงาน ซื้อที่ไหนดี |
170 |
หากเราลองดูที่ keyword จะเห็นคำว่า เก้าอี้สำนักงาน นั้น ความหมายมันจะกว้างมากๆ เราจะไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้เลย ว่าค้นหา เก้าอี้สำนักงาน ไปเพื่ออะไร เราเรียก keyword เหล่านี้ว่า Broad keywords
ซึ่งจะแตกต่างจาก keywords เก้าอี้สำนักงาน ราคาถูก, เก้าอี้สำนักงาน ซื้อที่ไหนดี ที่รู้ความต้องการที่แท้จริงของเขาได้ชัดเจน โดยเฉพาะ คำว่า “ราคา” “ที่ไหนดี” ตรงนี้ อาจหมายถึงว่าคนค้นหาเขาหาข้อมูลมาเพียงพอและอยากได้เก้าอี้สำนักงาน จนถึงขั้นเปรียบเทียบราคา พร้อมที่จะเดินทางไปสู่การซื้อสินค้าแล้ว
Tip : จากการทดสอบของผมเอง keywords ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงได้ Conversion Rate สูงกว่าคำค้นหาแบบกว้าง
สรุป การเลือกทำ Keywords Research จึงสำคัญมาก และอย่ายืดติดกับ keyword ที่ไม่มีคำค้นหา หรือ keyword ศักดิ์ศรี
เพราะมีหลายคนที่ผมเจอ ที่ไม่รู้จัก keyword research อยากให้คำนั้นคำนี้ ที่คิดว่าดี ติดอยู่บนหน้าแรกอันดับต้นๆ ของ Google แล้วลงมือทำทันทีโดยไม่ได้หาข้อมูลก่อน ผลคือ ขึ้นที่ 1 จริง แต่ไม่ได้ช่วยสร้างประโยชน์อะไรให้กับธุรกิจของเขาเลย
2. Website
อยากทำ SEO แต่ไม่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ครับ
เป็นคำถามยอดฮิต สำหรับ การเริ่มต้นทำ SEO คือไม่รู้โค๊ด ทำเว็บไซต์ไม่เป็น ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ จะทำ SEO ได้ไหม?
ได้แน่นอนครับ ทุกวันนี้ มีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเยอะมาก แถมมีคุณภาพอีกด้วยครับ การใช้งานก็ไม่ยาก คล้ายๆ กับการเล่นแอพบนมือถือ ถ้าเรารู้ว่ามี บ่อเงิน บ่อทอง ที่จะช่วยสร้างช่องทางในการขายให้กับเราได้ เราจะเดินหนี มันไหมครับ ก็ต้องไม่อยู่แล้วใช่ไหมครับ
ถ้าไม่รู้จักการสร้างเว็บไซต์ ก็ต้องเริ่มศึกษากันทันที เพราะการทำ SEO จำเป็นต้องมีเว็บไซต์
เว็บไซต์ก็เหมือนกับหน้าร้านค้า ทั้งใช้สำหรับขายของและเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ และให้ Search Engine มาเก็บข้อมูล ถ้าเราไม่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง Bot ก็จะมาเก็บข้อมูลไม่ได้
ในการเตรียมตัวเบื้องต้น สำหรับการสร้างเว็บไซต์ มีอยู่ 3 อย่าง นั้นคือ
- Hosting
- Domain
- เลือกระบบที่ใช้สำหรับสร้างเว็บไซต์
Hosting
เว็บไซต์ จะเป็นเว็บไซต์ได้ ต้องประกอบไปด้วย ข้อมูล หรือ coding ต่างๆ ซึ่งการใช้บริการ hosting ก็คือการนำข้อมูล ไปฝากไว้บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บไฟล์ของเว็บไซต์เราไว้ และออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดย Hosting ที่ผมแนะนำสำหรับในประเทศไทยก็คือ https://www.hostatom.com/
Domain
โดเมน หรือ Domain ก็คือชื่อร้านค้าของเราครับ ไม่ได้เป็นชื่อที่เราซื้อขาดนะครับ เราต้องเช่าเป็นสัญญารายปี ครับ เราอาจจะใช้ชื่ออย่าง hookgrowth.com หรือ lazaza.com
หลักในการเลือก ชื่อโดเมน สำหรับการทำ SEO เราสามารถใช้ชื่อแบบไหนก็ได้ครับ แต่ผมแนะนำให้ใช้เป็นภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษาสากล ถ้าใช้ชื่อไทย เวลา copy แล้วมาวางจะเป็นภาษาเอเลี่ยน
ซึ่งหลายคนอาจกังวลว่ามีผลต่อการทำ SEO ไหม สำหรับตัวผมเอง ผมมองว่าเรามาโฟกัสที่การทำ SEO กับเรื่องของ Branding ดีกว่าครับ ไม่จำเป็นที่เราทำ SEO ใน keyword “เก้าอี้สำนักงาน” แล้วชื่อเว็บไซต์จะต้องเป็น เก้าอี้สำนักงาน.com หรือ Officechair.com
เราสามารถซื้อโดเมน ได้ผ่านผู้ให้บริการอย่าง hostatom ได้อีกเช่นกัน
ระบบสำหรับการสร้างเว็บไซต์
ไม่ได้เรียนเขียนเว็บไซต์มา ไม่รู้จักการเขียนโค้ด สร้างเว็บไซต์ ได้ไหม คำตอบคือ ได้ครับ
เราสามารถใช้ ระบบ CMS (Content Management System) ที่เป็น เครื่องมือในการสร้างเว็บไซต์ ที่มีระบบจัดการข้อมูล และสร้างเนื้อหา แบบไม่ต้องรู้ code หรือต้องเรียนเขียนเว็บไซต์มา ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ได้แบบจับ ลากๆ แล้วาง สำหรับค่ายที่ผมจะแนะนำก็คือ WordPress ที่เป็นระบบที่นิยมใช้งานมากที่สุดในโลก และมีฟังก์ชั่นให้เลือกเยอะมาก แถมยังรองรับกับการทำ SEO
ถึงตรงนี้ ทางแบบรวบลัดที่สุด อยากมีเว็บไซต์ ในทันที ทันใด แบบไม่รอไม่นาน เข้าเว็บไซต์ Hostatom แล้วติดต่อพนักงาน เช่า domain เช่า hosting พร้อมแล้ว ส่ง Triket ไปหา Hostatom ให้เขาติดตั้ง WordPress ให้ เป็นอันเสร็จ คุณมีเว็บไซต์ WordPress ได้แบบง่ายมากๆ ครับ
แต่ผมก็แนะนำให้ หาข้อมูลอย่างละเอียด ก่อนนะครับในการเริ่มต้นทำเว็บไซต์ ปัจจุบันมีคนออกมาให้ข้อมูลในส่วนนี้เยอะมาก เราศึกษาเองได้เลยครับ ถ้าใครอยากศึกษาเพิ่มเติมผมแนะนำ https://padveewebschool.com/ อาจารย์ พัดวี มีคอร์สสอนอยู่มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน
3. ปรับแต่ง On-Page SEO หรือ การปรับแต่งเว็บไซต์
หากมาถึงในหัวข้อ On-Page SEO ทุกคนจะต้องรู้จักกับ การเลือก keywords ที่ใช้ในการทำ SEO และรู้จักเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ในเบื้องต้นกันแล้วนะครับ
On-Page คือ การทำ SEO ในส่วนที่เราสามารถปรับแต่งได้เองภายในเว็บไซต์ ซึ่งจะเกี่ยวกับกับการสร้าง Contents ภายในเว็บไซต์ โดยปรับแต่งให้ Contents มีประสิทธิภาพสูงที่สุด รองรับ SEO และรองรับความต้องการของผู้ใช้ การทำ SEO On-Page มีปัจจัยที่ค่อนข้างเยอะเอามากๆ เช่น
- การแทรก keyword ที่ research มาให้กระจายอยู่ภายในบทความ แต่ไม่ควรทำเยอะเกินไป เพราะจะเข้าข่ายสแปม keyword
- การเขียนเนื้อหาให้ละเอียด อาจมากกว่า 1500 คำ หรือ 2000 คำ ข้อนี้เอาเนื้อหาแบบเนื้อๆนะครับ อย่าเน้นน้ำเยอะ เพราะมันจะกลายเป็นบทความเป็ด
- การใส่ Keywords ลงใน title, URL, Description
- การใช้ Keywords ใน H1 H2 H3
- การวาง Keywords ใน Paragraph แรก ภายใน 100 คำ
- การใช้ Keywords ที่เกี่ยวข้องในบทความ
- การปรับแต่ง Image Optimization
- VDO Integration
- การทำ Support content มาดัน Content ที่ใช้แข่งขันใน keyword หลักของธุรกิจ ในรูปแบบของ Blog เพื่อให้เว็บไซต์เข้าเกณฑ์ E-A-T ของ Google
- ฯลฯ
ยิ่งถ้าบทความปรับแต่ง On-page ได้ดีเท่าไหร่ ก็จะมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหามากยิ่งขึ้น Google ก็จะคัดเลือกเนื้อหาของคุณไปแสดงในหน้าผลการค้นหา ยิ่งมีความเกี่ยวข้องมาก อันดับก็จะเข้าใกล้ที่ 1 มากยิ่งขึ้น
แต่ถึงจะมีความเกี่ยวข้องมากที่สุด ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดนะครับ เพราะ Google เองก็มีปัจจัยหลายอย่างในการนำมาวิเคราะห์ ซึ่งรวมถึงเรื่องของ คุณภาพของบทความ ที่มีผลมาจาก user experience เช่น ค่า Bounce rate, CTR%, Time On Site, Exit Rate ใน Part ของการวิเคราะห์
สอนปรับ On-Page SEO ให้อันดับ keywords มีโอกาสเข้าหน้าแรก มากกว่า 50%4. เริ่มต้นทำ Off-Page SEO
การเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้ามีแต่ตัวเราเองบอกว่า เราเก่ง เราน่าเชื่อถือ ก็คงไม่มีใครเชื่อเราใช่ไหมครับ ต้องมี คนที่มีความน่าเชื่อถือคนอื่นมาบอกด้วยว่าตัวเรานั้นเก่งจริง คนอื่นถึงจะเชื่อ
การทำ SEO ในส่วนของ Off-Page ก็คือปัจจัยภายนอกตัวเว็บไซต์ เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ของเรา ผ่านสิ่งที่เรียกว่า Backlink เพื่อให้เว็บไซต์ของเรานั้นมี อำนาจ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ยิ่งมี Backlink คุณภาพโยงมาหา ยิ่งทำให้เว็บไซต์มั่นคง แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น Backlink จาก Website หรือ Social Media
ปัจจุบันการทำ SEO ในเรื่องของ Off-Page ถูกลดความสำคัญลงไปกว่าแต่ก่อนมาก แต่ผมก็มีผลลัทธ์จากการทดสอบมาแล้วว่า Off-page ในส่วนของ Backlink ยังมีความสำคัญในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ต่อการทำอันดับ หากเปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์ที่มี Backlink กับ ไม่มี Backlink เว็บไซต์ที่มี Backlink จะได้เปรียบมากกว่าในการทำอันดับบน Search Engine ของ Google
Backlink คืออะไร
ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ผมทำเว็บไซต์ manee.com ที่เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับ น้ำจิ้มสูตรเด็ด ตราแม่มณี แล้วมีคนมาอ่านในบทความบนเว็บไซต์ของผมแล้วรู้สึกชื่นชอบมากจึงได้นำ น้ำจิ้ม สูตรแม่มณี ไปเขียนลงบน pantip แล้วก็ทำ Backlink โยงกลับมาหาเว็บไซต์ของผม ตัว ลิงค์ที่เชื่อมโยงมานี้แหละครับที่เราเรียกว่า Backlink
วิธีตรวจสอบ Backlink คุณภาพ ที่มีผลต่อการทำอันดับตัวอย่าง Backlink
เกล็ดน่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่องของ Backlink คือ การทำ Backlink นั้นเป็นเทคนิคที่จะว่าทำยากก็ยาก จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เพราะปัญหาคือเราจะไปหาทำ Link ที่ไหน ที่มีคุณภาพ โดยผมขอเลือกหัวข้อที่น่าสนใจมาเป็นตัวเลือกให้ศึกษาต่อในการทำ Backlink
- ซื้อ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ หากใครมีต้นทุนสักหน่อย การซื้อ link ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์อย่าง kapook.com, sanook.com ก็เป็นทางลัด ที่ช่วยประหยัดเวลาเราไปได้เยอะ และได้ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ต้อง Check เว็บไซต์กันอีกทีด้วยนะครับ
- PBN (private blog network) คือการทำเครือข่ายส่วนตัวที่ใช้สำหรับทำอันดับโดยเฉพาะ ในต่างประเทศเว็บไซต์ใหญ่ๆ หลายแห่งนั้นมี PBN กันแทบทั้งนั้นครับ เพราะ PBN เหล่านี้ สามารถที่จะ control เนื้อหาภายในได้ทั้งหมด และถ้าหากทำแบบคุณภาพ มันก็อาจจะช่วยเพิ่ม Trffic อีกเว็บไซต์ เพิ่มช่องทางในการขายด้วยนะ แต่ถ้าหากทำวิธีนี้ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาก
- Parasite Backlink เป็นการทำ Link จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูง ที่เจ้าของเปิดให้สร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเขาได้ เช่น เว็บ Blog ต่างๆ อย่าง blogger.com (หลายๆท่านเลิกทำที่นี่กันแล้วยกมาเป็นตัวอย่างเฉยๆครับ) เราสามารถที่จะสร้างเนื้อหาและทำ Backlink กลับมาหาเว็บไซต์ของตนเอง
- Webboard ต่างๆ หากถามว่าทำได้ไหม ในปัจจุบัน ผมยังมองว่าทำได้อยู่นะครับ ได้ Backlink เหมือนกัน บางที่ก็มีคุณภาพ สามารถเก็บแต้มได้
5.วิเคราะห์
หากตั้งแต่ข้อที่ 1-4 ที่ทำกันมา ไม่สามารถวัดผลได้ก็คงจะไร้ความหมายครับ การวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญเป็นอย่างมาก หากเราจะสามารถเริ่มวิเคราะห์ได้ ก็ต้องมีข้อมูลในการนำมาประกอบการตัดสินใจก่อนใช่ไหมครับ แล้วที่นี่เราจะนำข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์มาจากไหน
ผมขอแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ครับ
1. Rank Tracker tools
การทำ SEO เป้าหมายของเราคือการทำให้ Keyword ที่เรา Research มาในข้อ 1 ติดอยู่บนหน้าแรกของ Google ดังนั้นเราจึงต้องมีการติดตามผลกันเสียหน่อยว่า หลังจากที่เราทำ SEO กันไปแล้ว Keywords เหล่านั้น อยู่อันดับที่เท่าไหร่บน Search Enging โดยเครื่องมือติดตามอันดับ Keywords นั้นก็มีหลากหลายตัว ตัวฟรี ที่ผมแนะนำคือ https://www.serprobot.com/ ใช้งานง่ายและใช้ได้ฟรี
โปรแกรมตรวจอันดับ Keywords serprobot.com
หรือแบบจริงจัง ขึ้นมาหน่อย ติดตามอันดับในแต่ละวัน แบบเสียค่าใช้จ่าย สามารถดูอันดับได้ทุกวัน มีการแสดงแบบเป็นกราฟการเติบโตของอันดับในแต่ keywords ผมขอแนะนำแต่ละจ้าวดังนี้ครับ
- https://serpfox.com/
- https://proranktracker.com/
- http://serpmojo.com/ (ราคาถูกที่สุด ดูได้บนแอพมือถือ android)
2. Google Search Console
เป็นเครื่องมือฟรี ที่ Google ได้เตรียมเอาไว้ สำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น มีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนที่ผมเริ่มทำ SEO ใหม่ๆ เมื่อ ปี 2016-2017 Google Search Console ยังมีลูกเล่น ไม่มากนัก แต่ปัจจุบัน ถือว่ามีประโยชน์มากในการนำมาปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ เป็นตัวที่ไม่ติด ไม่ได้หนึ่งตัวครับ เพราะข้อมูลแต่ละส่วนนั้น มีประโยชน์และสามารถใช้ได้จริง เช่น
- การให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Performance ของเว็บไซต์ จำนวน Click / impression / CTR เพื่อนำข้อมูลมา Optimization CTR บน Google Search Engine
- บอกจำนวนหน้าเว็บไซต์ที่มีความผิดปกติ หรือมีปัญหาบ้างอย่าง เพื่อให้ผู้ดูแลเว็บไซต์แก้ไข
- การบอกประสิทธิ core web vitals ของเว็บไซต์ ที่เป็นเกณฑ์คุณภาพเว็บไซต์ของ google ที่ google ออกมาเพื่อให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์ปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้ใช้ และยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้สำหรับในการทำอันดับ
นอกจากนี้ Google Search Console ยังช่วยในอีกหลายๆ ด้านถือว่าเป็นเครื่องมือในการติดตามภาพรวมของ SEO ได้ดีมากจริงๆ ครับ
3. Google Analytics
Google Analytics คือเครื่องมืออีกหนึ่งตัวของ Google ที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลและบันทึกสถิติต่างๆ ภายในเว็บไซต์ เป็นเครื่องมือฟรี ที่ นักการตลาดออนไลน์ ทุกคนควรรู้จัก โดยเครื่องมือตัวนี้ มีข้อมูลที่สำคัญหลายอย่างมากๆ ถ้าเอามาไว้ภายในบทความนี้ ผมคิดว่า คงจะต้องอ่านกันหลายวันแน่ๆ ครับ ดังนั้นจึงจะขอยก ฟังกชั่นที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อ SEO มาเพียงเท่านั้น
- ใช้สำหรับดู พฤติกรรมของผู้เข้าใช้เว็บไซต์ ที่มาจากช่องทาง Organic search เท่านั้น
- ใช้สำหรับปรับปรุงหน้า Landing Page ในแต่ละหน้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ใช้สำหรับปรับปรุง อัตรา Conversion Rate ภายในเว็บไซต์ให้สูงขึ้น
- ดูภาพรวมของผู้ชมเว็บไซต์ทั้งหมด
การใช้งาน Google Analytics นั้นมีหลากหลายวิธีเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยเพิ่มข้อมูลในการวิเคราะห์ภาพรวมของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ให้เขาได้มี user experience ที่ดีมากยิ่งขึ้น หากใครมีเว็บไซต์ ควรที่จะติดตั้ง Google Analytics ตั้งแต่เริ่มต้น ทันทีครับ เพื่อไม่ให้พลาดข้อมูลที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีต่อเว็บไซต์ของคุณ
6. ปรับปรุง
ขนาด Google ที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทระดับโลก ยังออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า ระบบ Search Engine ของเขานั้นยังไม่เสร็จ และไม่มีวันจะเสร็จ ต้องให้วิศวกรขั้นหัวกระทิระดับโลกหลายคนมองหาจุดที่จะปรับปรุงได้อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นแล้วการทำเว็บไซต์ก็เหมือนกันครับ เว็บที่ดี คือเว็บที่ไม่มีวันเสร็จ และมีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอนนี้ เป็นกระบวนการสุดท้าย ที่เราจะทำการวิเคราะห์ ภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 ถึง 5 เพื่อหาวิธีปรับปรุงเว็บไซต์ของเราครับ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
หรือบางครั้งเราทำเว็บไซต์อยู่ดีๆ แต่ Google Update วิธีการจัดอันดับบางอย่าง เราก็ต้องปรับปรุงตามเกณฑ์ของ Google เพื่อให้เราสามารถอยู่บนหน้าแรก และเป็นข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้อง มีคุณภาพมากที่สุด จนกว่าระบบ Search Engine จะหายไปจากโลกนี้ครับ
ข้อแนะนำสำหรับในหัวข้อนี้ ในกรณีที่บางครั้งเราทำ SEO ตามสูตรทุกอย่าง อันดับตกลงมา ให้ลองมองดูเหล่าเว็บไซต์ที่อยู่บนหน้าแรกของ Search Engine ครับ ว่าเขามีอะไรที่เราไม่มี และเราจะปรับปรุงได้อย่างไร ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงจะเจอกันมาบ้าง ที่คิดว่าเราทำ SEO ตามสูตรทุกอย่างแล้วแต่ทำไม อันดับถึงไม่ติด หรือ แพ้บางจ้าวที่ไม่ทำ สาเหตุ เพราะการทำ SEO มันไม่มีหลัการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับได้แน่นอน ในวงการนี้ครับ !
เรียน SEO ที่ไหนดี
หากเราเป็นคนไทยและต้องการศึกษาทางด้าน SEO เป็นขอแนะนำ จ้าวที่รับเปิดสอน SEO ที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจพื้นฐานการทำ SEO ไปจนถึงขั้นสูงครับ
แหล่งเรียนรู้ SEO สำหรับประเทศไทย
- https://padveewebschool.com/
- https://contentshifu.com/
- https://warrior.in.th/
- https://hookgrowth.com/ เว็บไซต์ส่วนตัวของผมเองครับ ฮ่าๆ
หากอยาก เรียน SEO แบบสากล ก็เว็บเหล่านี้เลยครับ
ข้อควรรู้การทำ SEO
Q : อย่าทำ SEO ใน Keyword ที่การแข่งขันสูงจนเกินตัวไป
A : ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการทำ SEO ใน keywords อย่าง ประกันภัยรถยนต์ คู่แข่งแต่ละจ้าวที่เราจะแข่งขันด้วยนั้นมีงบประมาณมหาศาล การจะเข้าไปแข่งขันด้วยนั้น เราจึงต้องประเมินก่อนว่า สู้ไหวไหม ถ้าไม่ไหว อาจจะเฟ้นหา keywords ที่มีการแข่งขันน้อยลงมา
Q : Keywords ที่ดีบ้างที่ก็ไม่จำเป็นต้องมี Volume สูง
A : การทำ SEO เราควรมองบริบทของ keywords ด้วยว่าคนค้นหาอะไรอยู่ บางที เป็นกลุ่ม keywords ที่มี Volume สูงจริง แต่ไม่ได้ให้ผลลัทธ์ หรือ Con.v ที่สูงมากนัก
Q : การทำ SEO จำเป็นต้องเพิ่ง Contents
A : หากเราหวังแต่จะเอาเฉพาะ keywords เดียว มันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งเว็บไซต์เราจะมีหน้าเดียวแล้วจะให้ Google มาเชื่อถือ และทำให้เราอยู่ในอันดับที่ดี ดังนั้นการทำ SEO จึงจำเป็นต้องมั่นสร้าง Contents คุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ภายในเว็บไซต์ ในแต่ละ keywords ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา
Q : จำนวน Backlink เยอะไม่เท่ากับได้ Backlink คุณภาพ
A : หมดยุคของการสแปม Backlink เอาให้ได้ Backlink เยอะๆเข้าว่า ใช้โปรแกรมช่วย หันมาเน้นที่คุณภาพของ Backlink ที่ Link มาหาเว็บไซต์ของเราเองดีกว่าครับ
Q : โดเมนเก่าได้อันดับดีกว่าโดเมนใหม่ในการทำ SEO ?
A : ไม่จริง ถึงแม้เราจะใช้โดเมนเก่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำอันดับได้ดีกว่าโดเมนที่เพิ่งสร้างมาใหม่
Q : การทำ SEO เลือกนามสกุล .com .net แรงกว่า .guru .xyz ?
A : ไม่จริง นามสกุลเว็บไซต์อย่าง guru หรือ xyz ก็สามารถทำอันดับได้เหมือนกัน
Q : โดเมนที่มีค่า Page Rank สูง อันดับจะดีกว่าในการทำ SEO
A : ไม่จริง เราควรเลือกโดเมนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราทำมากกว่า
Q : การทำ SEO โดเมนที่มี Keywords หลักทำอันดับได้ดีกว่า
A : ไม่จริง ถึงแม้เราจะใช้โดเมนที่ไม่มี Keywords อยู่ก็สามารถทำอันดับได้เหมือนกัน
Q : การทำ SEO subdomains ดีกว่า subdirectory
A : ไม่จริง สามารถทำงานได้ดีทั้งคู่
Q : HTTPS จำเป็นสำหรับทุกเว็บในการทำ SEO
A : HTTPS จำเป็นสำหรับทุกเว็บไซต์
สำหรับบทความนี้ก็หวังว่าจะตอบคำถามของทุกคนได้ว่า SEO คืออะไร และเข้าใจภาพรวมของการทำ SEO สุดท้ายที่อยากฝากเอาไว้คือ การทำ SEO เป็นกิจกรรมที่เราต้องทำในระยะยาว ประมาณ 3 เดือน ถึง 1 ปี จะให้เกิดผลลัทธ์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะเห็นความแตกต่างน้อยมาก แต่ถ้าเรามาดูในระยะยาว การทำ SEO จะตอบแทนผลลัพธ์อันคุ้มค่าให้กับทุกคนอย่างแน่นอนครับ
หากใครอยากได้ผลลัทธ์ทันใจ ผมแนะนำให้ลองทำ Google Ads จะดีกว่า
Facebook Comments